แม้ว่า AI อาจเป็นเรื่องราวที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเดียว ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในโลกการออกแบบ เราได้รวบรวม 10 เทรนด์การออกแบบที่ผู้นำด้านดีไซน์ในยุคนี้เห็นพ้องต้องกัน
AI ในระดับมืออาชีพ
คืนสู่ประสบการณ์ทางกายภาพ
การกลับมาของงานฝีมือ
ทดลองดีไซน์รูปแบบใหม่ๆ
ดีไซน์โดยใช้คำสั่ง
ผสานเสียงในงานดีไซน์
ความยั่งยืนยังคงอยู่ในกระแสหลัก
กราฟิกโอเว่อร์ไซส์ในแบบมินิมอล
ดีไซน์เพื่อสายสุขภาพ
ดีไซน์ที่ครอบคลุมทุกผู้คน
➊ AI ในระดับมืออาชีพ
AI กำลังปฏิวัติวงการออกแบบด้วยการเพิ่มความหลากหลายและความสมจริงให้งานสร้างสรรค์ พร้อมลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน นักออกแบบจำเป็นต้องเข้าใจทั้งศักยภาพและข้อจำกัดของ AI เพื่อใช้เสริมจินตนาการอย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคตอันใกล้ AI จะเปลี่ยนจากเครื่องมือเฉพาะนักวิชาชีพมาเป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนเข้าถึงได้ ช่วยสร้างงานออกแบบคุณภาพสูงและเนื้อหาแบรนด์แบบเรียลไทม์ได้ด้วยตัวเอง โดยจะพัฒนาจากการเสนอแนวคิดไปจนถึงการผลิตผลงานระดับมืออาชีพอย่างครบวงจร
สร้างงานออกแบบที่ หลากหลาย-สมจริง มากขึ้น
ลดขั้นตอนยุ่งยาก ในกระบวนการออกแบบ
ช่วยต่อยอดจินตนาการได้มีประสิทธิภาพ (เมื่อเข้าใจจุดแข็ง/ข้อจำกัดของ AI)
พัฒนาทรัพยากรและเนื้อหาแบรนด์แบบเรียลไทม์
ความแม่นยำในการค้นหาผลลัพธ์เชิงสร้างสรรค์ มีคุณภาพสูงขึ้น
แพลตฟอร์มออกแบบ จะมีเครื่องมือ AI ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการทำงาน
ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น (Human-AI Collaboration)
จากเดิมสร้างเพียง แนวคิด → พัฒนาสู่การสร้าง ผลงานสำเร็จรูป ที่พร้อมใช้
เปลี่ยนจากเครื่องมือเฉพาะนักออกแบบ → เป็นเครื่องมือที่ ใครๆ ก็ใช้ได้
AI art composite from Ogilvy Paris, Dentsu Creative Portugal, Wunderman Thompson, Omneky, Rethink, and TBWA/Melbourne
Stella Artois – The Artois Probability 2023 campaign by Gut Buenos Aires
➋ คืนสู่ประสบการณ์ทางกายภาพ
ในขณะที่ AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว วงการออกแบบกำลังเกิดเทรนด์ที่น่าสนใจนั่นคือ “การกลับมาของการออกแบบที่สร้างประสบการณ์ตอบโต้ทางกายภาพ” ผ่านอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ เช่นมือถือ จอทัชสกรีน หรือแว่นตา VR ซึ่งมันจะถูกนำไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกที่กำลังหาจุดสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกจริง
สาเหตุสำคัญของเทรนด์นี้
ความเหนื่อยล้าจากโลกดิจิทัล (Digital Fatigue) ทำให้ผู้บริโภคโหยหาประสบการณ์ที่จับต้องได้
แบรนด์ต่างๆ เริ่มผสมผสาน IRL (In Real Life) Experience เข้ากับอีคอมเมิร์ซ
การออกแบบที่มนุษย์สร้างขึ้น (Human-Crafted Design) กำลังเป็นจุดขายใหม่
ตัวอย่างการนำไปใช้
ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เพิ่มพื้นที่แสดงสินค้าทางกายภาพควบคู่กับช็อปปิ้งออนไลน์
งานออกแบบแพ็กเกจจิ้งแบบทำมือที่เน้นความพิถีพิถัน
การจัดอีเวนต์แบบออฟไลน์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
อนาคตที่คาดการณ์
ความต้องการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวจะเพิ่มขึ้น
การออกแบบจะเน้น “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ที่สื่อถึงความเป็นมนุษย์
เทคโนโลยีจะถูกใช้เสริมประสบการณ์จริง แทนที่จะแทนที่
” ยิ่งโลกดิจิทัลพัฒนาเร็วเท่าไหร่ มนุษย์ยิ่งโหยหาความเป็นจริงมากเท่านั้น “
Nike by Melrose’s app to store phygital retail experience.
➌ การกลับมาของงานฝีมือ
กระแสการกลับมาของงานฝีมือในยุค AI เมื่อผู้บริโภคโหยหาความเป็นมนุษย์และความยั่งยืน ในยุคที่ AI และการผลิตจำนวนมากครอบงำตลาด กลับเกิดกระแสต้านทานที่ผู้บริโภคเริ่มให้คุณค่ากับงานฝีมือและมรดกการออกแบบแบบดั้งเดิมมากขึ้น Luigi Carnovale นักออกแบบชั้นแนวหน้าของโลกจาก Design LSC ชี้ 3 ปัจจัยหลักของเทรนด์นี้
ความปรารถนาในเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผู้บริโภคเบื่อสินค้าแบบ mass production ที่เหมือนกันหมด
หันไปสนใจสินค้าแฮนด์เมดที่มีเรื่องราวและความหมายเฉพาะบุคคล
ความยั่งยืนที่จับต้องได้
การผลิตงานฝีมือมักเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าการผลิตอุตสาหกรรม
สอดคล้องกับแนวคิด Slow Design ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและงานมือ
นวัตกรรมใหม่ๆ ถูกนำมาเสริมงานฝีมือแบบดั้งเดิม
สร้างสรรค์ผลงานที่ทันสมัยแต่ยังคงความรู้สึกที่เป็นมนุษย์
เทรนด์นี้สะท้อนความต้องการสมดุลใหม่ระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการออกแบบ ผู้บริโภคจึงโหยหาความ authentic และ sustainable ที่งานฝีมือมอบให้มากกว่าเดิม
Natdzho – Cryptic. Mixed Media Collage
Oliver Furth’s LA home featured in Architectural Digest
➍ ทดลองดีไซน์รูปแบบใหม่ๆ
การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มออกแบบราคาประหยัดเช่น Canva ทำให้ทุกคนสามารถสร้างงานออกแบบได้ด้วยตัวเอง แต่ก็นำไปสู่ปัญหาการผลิตเนื้อหาแบบเหมารวม เนื่องจากระบบพึ่งพาเทมเพลตสำเร็จรูปเป็นหลัก ส่งผลให้
งานออกแบบมีลักษณะคล้ายกันจนขาดเอกลักษณ์
การค้นหาแนวคิดและสไตล์ใหม่ๆ ทำได้ยากขึ้น
AI ที่เรียนรู้จากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งผลิตผลงานที่ซ้ำๆ
อย่างไรก็ดี วิกฤตินี้ก็สร้างโอกาสสำหรับนักออกแบบมืออาชีพด้วยเช่นกัน
เปิดพื้นที่สำหรับนักออกแบบมืออาชีพ : ที่ต้องการสร้างความแตกต่าง
กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ : ผ่านการทดลองเทคนิคใหม่ๆ
เน้นคุณค่าของการออกแบบเฉพาะตัว : เพื่อก้าวพ้นจากกรอบเทมเพลต
แม้งานออกแบบโดยรวมอาจถดถอยในแง่คุณภาพ แต่แนวโน้มนี้ก็เป็นแรงผลักดันให้วงการต้องปรับตัว โดยนักออกแบบอาชีพจะหันมาเน้นการสร้าง “คุณค่าที่แท้จริง” แทนการผลิตงานแบบคนส่วนใหญ่
” เมื่อทุกคนเป็นนักออกแบบได้ ความเป็นมืออาชีพจะวัดที่ ‘ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เหมือนใคร’ แทนแค่ทักษะการใช้เครื่องมือ “
A collaborative zine produced by Franklyn and Michael Freimuth highlighting ai artists across an array of themes and visual exploration
Looks-from-KWK-by-Kay-Kwoks-Spring-2024-Show
➎ สร้างดีไซน์โดยใช้คำสั่ง
เมื่อการเขียนคำสั่งคือทักษะใหม่ในการออกแบบ ในปี 2025 การออกแบบจะถูกเปลี่ยนโฉมด้วย AI ที่สามารถแปลง “ข้อความ” เป็นรูปภาพ วิดีโอ และผลงานสมจริงได้ทันที
ทักษะการเขียนคำอธิบาย : จะสำคัญไม่แพ้ทักษะออกแบบแบบดั้งเดิม
กระบวนการทำงาน : จะเปลี่ยนจาก “ร่างภาพก่อน” เป็น “เขียนคำสั่งก่อน”
อุตสาหกรรมครีเอทีฟ : เริ่มใช้ AI สร้างคอนเทนต์จากคำพูดแล้ววันนี้
วิธีเตรียมตัวสำหรับเทรนด์นี้
ฝึกอธิบายแนวคิดอย่างละเอียดเป็นข้อความ
เปลี่ยน mindset จาก “ทำเองทุกขั้นตอน” เป็น “ออกแบบด้วยคำสั่ง”
เรียนรู้การใช้ Prompt Engineering เพื่อควบคุมผลลัพธ์
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
นักการตลาดสร้างโฆษณาจากคำอธิบายผลิตภัณฑ์
สตาร์ทอัพพัฒนา MVP ด้วย AI โดยไม่ต้องมีทีมออกแบบใหญ่
บล็อกเกอร์ผลิตอินโฟกราฟิกจากบทความทันที
ประโยชน์ที่ตามมา
ลดค่าใช้จ่ายการผลิต
เพิ่มความเร็วในการทำงาน
เปิดพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด
อนาคตที่ใกล้เข้ามา AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยออกแบบ แต่จะเป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่เปลี่ยนไอเดียเป็นผลงานแบบเรียลไทม์!
A Lovely Atmosphere กล่องส่งเสริมการขายของ GBGT Box แสดงถึงชั้นบรรยากาศทั้ง 5 ชั้น ผลงานของ Bedow
เครื่องดื่มโปรไบโอติกของ Swee Kombucha เป็นธรรมชาติ 100% โดยออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยใช้เซลล์ 100 เซลล์ โดยแต่ละเซลล์จะบรรจุสีที่แสดงถึงเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมแต่ละชนิด ผลงานของ Bedow
➏ ผสานเสียงในงานดีไซน์
ในปี 2025 เสียงจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบดิจิทัลมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเสียงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่ายผ่านเครื่องมือออนไลน์ แนวโน้มนี้จะส่งผลให้มีการนำเสียงมาใช้ในงานออกแบบหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในรูปแบบ:
ซาวด์แทร็กและเสียงพื้นหลัง : เพื่อสร้างอารมณ์และบรรยากาศ
เสียง UI (User Interface) : เช่น เอฟเฟกต์การคลิกหรือการแจ้งเตือน เพื่อเพิ่มการโต้ตอบกับผู้ใช้
ประสบการณ์แบบปรับแต่งได้ : โดยให้ผู้ใช้เลือกเปิดหรือปิดเสียงอัตโนมัติตามการตั้งค่าส่วนตัว
ในอดีต การเล่นเสียงอัตโนมัติบนเว็บไซต์มักถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ารำคาญ แต่ในอนาคต เว็บไซต์จะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยคำนึงถึงความชอบของผู้ใช้แต่ละคนเป็นหลัก เทรนด์นี้ไม่เพียงช่วยสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานที่สมบูรณ์ขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์สื่อสารอารมณ์และเรื่องราวผ่านเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
Stockholm, Sweden – Epidemic Sound
➐ ความยั่งยืนยังคงอยู่ในกระแสหลัก
ความยั่งยืนยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการออกแบบยุคใหม่ โดยแบรนด์ต่างๆ กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อสื่อสารความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง แทนการทำแค่ผิวเผินแบบ Green Washing เทรนด์นี้ส่งผลชัดเจนใน 3 มิติหลัก:
1. ภาษาการออกแบบที่สื่อความยั่งยืน
ใช้สีเอิร์ธโทนและพื้นผิวธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์
ดีไซน์เรียบง่ายแต่มีชั้นเชิง เน้นความรู้สึกสงบเหมือน “ให้โลกได้หายใจ”
บรรจุภัณฑ์ลดมลพิษสุดขีด ตั้งแต่วัสดุย่อยสลายได้จนถึงกระบวนการผลิตสะอาด
2. การยกระดับความโปร่งใส
แบรนด์ต้องพิสูจน์ได้ว่ามีการดำเนินงานเชิงนิเวศจริง
สื่อสารข้อมูลสิ่งแวดล้อมแบบตรวจสอบได้ (เช่น Carbon Footprint)
3. การออกแบบที่เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่
ดีไซน์ต้องสร้าง Emotional Connection ผ่านเรื่องราวความยั่งยืน
ผสมผสานความหรูหรากับจริยธรรม เช่น การใช้เส้นสายจากธรรมชาติในโลโก้พรีเมียม
ตัวอย่างการนำไปใช้
บรรจุภัณฑ์อาหารจากวัสดุหมุนเวียน 100%
โลโก้แบรนด์แฟชั่นที่ใช้ฟอนต์จากเส้นใยพืช
” ปี 2025 การออกแบบที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภค “
Photo courtesy of Jan N June and the Nobag
Dahwe Park, Mina Kim, and Hyunbin Shin of DA Design Team of Samsung Electronics Co., Ltd.
➑ กราฟิกโอเว่อร์ไซส์ในแบบมินิมอล
ในปี 2025 วงการออกแบบจะเห็นการผสานสองสไตล์ที่ดูเหมือนขัดแย้งกันอย่าง “Minimalist Maximalism” โดยยังคงใช้หลักการพื้นฐานของ Minimalism ที่เน้นความสะอาดตา เล่นกับช่องว่างบนพื้นหลัง และเส้นสายเรียบง่าย แต่เพิ่มลูกเล่นจาก Maximalism ผ่านองค์ประกอบสะดุดตาที่คาดไม่ถึง เช่น การใช้สีสันจัดจ้าน ตัวอักษรขนาดใหญ่ หรือรูปทรงเกินจริง ซึ่งสร้างความน่าตื่นเต้นโดยไม่เสียความโปร่งสบายตา
ความเรียบง่ายที่เล่าเรื่องได้ :ใช้พื้นที่ว่างอย่างชาญฉลาดเพื่อดึงความสนใจไปที่จุดโฟกัส
ความเกินขนาดอย่างมีสไตล์ : เน้นองค์ประกอบเด่นเพียง 1-2 จุด เช่น ปุ่มสีสดขนาดใหญ่บนพื้นหลังเรียบ
การเล่นกับคอนทราสต์ : ผสมผสานฟอนต์เรียบๆ กับกราฟิกลายเส้นหนา
ความลงตัวที่ไม่น่าเบื่อ : แม้จะเพิ่มลูกเล่นมากแต่ยังคงความรู้สึกเป็นระเบียบ
เทรนด์นี้ตอบโจทย์ยุคที่ผู้บริโภคต้องการทั้งความสงบจากความเรียบง่าย แต่ก็แสวงหาความตื่นเต้นผ่านการออกแบบที่ท้าทาย convention เดิมๆ
Wild Thingz โดย How&How
Blum โดย How&How (นักออกแบบ: Lina Aragon และ María Alejandra Maya-Fresa)
➒ ดีไซน์เพื่อสายสุขภาพ
ในปัจจุบันการดูแลสุขภาพกำลังเผชิญกับนวัตกรรมและการลงทุนพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการออกแบบโดยตรง เนื่องจากสุขภาพกำลังเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับอุปกรณ์สวมใส่และเทคโนโลยี การสร้างภาพแสดงข้อมูลด้านสุขภาพกำลังกลายเป็น กระแสรูปแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ปัจจุบันเทรนด์การดูแลสุขภาพด้วยนวัตกรรมและข้อมูล โดยมี 3 แนวทางหลัก
1. การบูรณาการอุปกรณ์สวมใส่
อุปกรณ์เช่น Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือติดตามสุขภาพที่แม่นยำ
ข้อมูลสุขภาพถูกเก็บรวบรวมแบบเรียลไทม์ แต่ต้องมีการตีความให้เข้าใจง่าย
2. การแสดงผลข้อมูลสุขภาพแบบ Visual
เทรนด์ Data Visualization ช่วยแปลงข้อมูลซับซ้อนให้เห็นภาพชัดเจน
ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันที่แสดงแนวโน้มสุขภาพผ่านกราฟิกเข้าใจง่าย
3. บริการสุขภาพพรีเมียมแบบ Data-Driven
บริษัทใหญ่ๆ ตั้งแต่ Apple ถึง Equinox ต่างลงทุนสร้างแพลตฟอร์มสุขภาพไฮเอนด์
เน้นการพยากรณ์สุขภาพล่วงหน้าและป้องกันโรค
ความท้าทายสำคัญ
การแปลงข้อมูลดิบให้เป็น “ความหมาย” ที่นำไปใช้ได้จริง
การออกแบบอินเทอร์เฟซที่ทำให้ข้อมูลสุขภาพซับซ้อนเข้าใจได้ง่าย
“สุขภาพจะไม่ใช่แค่การรักษา แต่คือการดูแลตนเองผ่านข้อมูลเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น”
Choice Organics ผลงานของ Beardwood&Co
➓ ดีไซน์ที่ครอบคลุมทุกผู้คน
ยุคนี้จะเห็นการออกแบบที่ตอบโจทย์ความหลากหลายทั้งวัย สภาพร่างกาย วัฒนธรรม และวิถีชีวิต สะท้อนความเท่าเทียมผ่านงานสร้างสรรค์ โดยมีประเด็นสำคัญคือ:
กลุ่ม 50+ ถือเป็นขุมทอง : ที่ถูกมองข้ามมานาน แม้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงสุด (ครอบครอง 80% ของความมั่งคั่งในสหราชอาณาจักร)
ความเหลื่อมล้ำในการโฟกัส : ตลาดยังเน้น Gen Z อย่างหนัก ทั้งที่กลุ่ม 50+ มีสัดส่วนประชากรถึง 40%
การออกแบบต้องปรับแนวคิด : จากเดิมที่สะท้อนรสนิยมนักการตลาด สู่การเข้าใจผู้บริโภคกลุ่มสูงวัยจริงๆ
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง
แพ็คเกจจิ้งแบบอ่านง่าย ฟอนต์ขนาดใหญ่
โฆษณาที่แสดงความหลากหลายของวัยอย่างแท้จริง
ผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน
Inclusive Design จะไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็น “ความจำเป็น” ของทุกแบรนด์ ที่ต้องออกแบบโดยคำนึงถึงทุกช่วงวัยรวมถึงทุกสภาพร่างกายอย่างเท่าเทียม
A Guide to Interface Design for Older Adults | Toptal®
“Increasing our Focus on Inclusive Technology” by Microsoft
พร้อมก้าวสู่ปี 2025 ด้วยเทรนด์การออกแบบที่แบรนด์ของคุณต้องรู้! ที่ BrandMadeFuture เราช่วยให้คุณเข้าใจและนำเทรนด์ล่าสุดมาปรับใช้กับแบรนด์ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่ผสานความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์ หรือการสร้างแบรนด์ที่ขับเคลื่อนเป้าหมายทางธุกิจ เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นนำหน้าคู่แข่งในทุกสภาวะตลา
อย่าปล่อยให้แบรนด์ของคุณตกเทรนด์! ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาฟรีและค้นหาว่าเราจะช่วยให้แบรนด์ของคุณก้าวนำในปี 2025 ได้อย่างไร
📩 : hi@brandmadefuture.com 🌐 : ติดต่อรับคำปรึกษา ความสำเร็จของแบรนด์คุณเริ่มต้นที่นี่ มาร่วมเดินทางสู่เป้าหมายไปด้วยกัน! 🚀✨
sources
cover image: https://www.instagram.com/michaelfreimuth_
https://www.creativeboom.com/insight/what-emerging-trends-will-be-big-in-2025-we-asked-creative-leaders-for-their-predictions
https://futurestores.wbresearch.com/blog/nike-new-flagship-powerhouse-experience-driven-retail
https://healthtechmagazine.net/article/2024/03/trends-wearable-technology-for-healthcare-perfcon
https://kontra.agency/ai-in-graphic-gesign-the-impact-on-visual-communication/